1. หน้าแรก
  2. บทความ
  3. “ภูมิ-พิสิษฏ์พงศ์ วรเศรษฐการกิจ” นักธุรกิจวิสัยทัศ...

“ภูมิ-พิสิษฏ์พงศ์ วรเศรษฐการกิจ” นักธุรกิจวิสัยทัศน์ไกล จากธุรกิจการศึกษา สู่โครงการอสังหาฯแนวราบ

 

 

พิสิษฏ์พงศ์ - 02



กว่าสิบปีบนเส้นทางธุรกิจการศึกษา สำหรับนักธุรกิจไฟแรง “ภูมิ-พิสิษฏ์พงศ์ วรเศรษฐการกิจ” ผู้ก่อตั้งวิทยาลัยศิลปินแห่งเอเชีย Superstar collage of asia หรือที่คนในวงการรู้จักในนาม superstar academy สถาบันการศึกษาที่มีหลักสูตรคนบันเทิงครบวงจร สู่เส้นทางธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเขาได้ผุดโครงการใหม่ the master อสังหาริมทรัพย์แนวราบ โฮมออฟฟิศและบ้านเพื่อการอยู่อาศัย ใกล้แนวรถไฟฟ้า ในเครือบริษัทของครอบครัว siam masterpiece asset โดยเจาะกลุ่มลูกค้าระดับ premium ทางหรรษา ดอท คอม ได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณภูมิถึงธุรกิจใหม่ของเขาที่โครงการ the master @bts udomsuk

 

“บริษัท siam masterpiece asset เป็นธุรกิจของครอบครัว มาจาก 2 ครอบครัว คือ วรเศรษฐการกิจ และสวาทยานนท์ ซึ่งเป็นนามสกุลของคุณแม่ ถ้าภาษาคนจีนเรียกว่า กงสี เราทำมานาน 20-30 ปีแล้ว รวมๆกันน่าจะประมาณ 2-3 หมื่นล้านบาท โดยที่แต่ละโครงการจะใช้ชื่อแตกต่างกันไป เช่น ถ้าเป็นสำนักงานออฟฟิศให้เช่า เราก็จะใช้ชื่อ ศรีสยามพร็อบเพอร์ตี้ เป็นเจ้าของตึกหลายแห่ง 

 

“ส่วนบริษัท siam masterpiece asset ตั้งใจที่จะทำขึ้นมาสำหรับ Product ที่เป็น medium to high เน้นไปที่การทำ Product ในเมือง ใกล้แนวรถไฟฟ้า เจาะกลุ่มที่ premium ขึ้นมา โดยโครงการ the master @bts udomsuk เป็นโครงการแรกของ siam masterpiece asset ซึ่งมีจุดแข็งที่อยู่เกาะแนวรถไฟฟ้าบีทีเอสอุดมสุข แล้วก็มีสถานีรถไฟฟ้าอีกฝั่งหนึ่งด้วย คือ ศรีอุดม ซึ่งกำลังจะสร้างเสร็จในอีก 2-3 ปีข้างหน้านี้ ว่าง่ายๆว่าถนนสุขุมวิทและถนนศรีนครินทร์จะมีรถไฟฟ้า โครงการเราอยู่บนถนนอุดมสุขที่เชื่อมระหว่างสุขุมวิทกับศรีนครินทร์ ก็จะมีรถไฟฟ้าขนาบสองข้าง ได้ประโยชน์จากสถานีรถไฟฟ้าทั้งสองฝั่งเลย ส่วนโครงการที่สองของเรา คือ the master @bts onnut ก็มี concept เหมือนกันเลย คืออยู่ตรงกลางระหว่าง bts อ่อนนุช กับ bts ศรีนุช 

 

“เราเน้นทำเลที่เป็น premium จริงๆ เรามองว่าทำเลอย่างอุดมสุขกับอ่อนนุช มันเหมือนทองหล่อ คือเป็นย่านที่เจริญ และเรียกว่าหาที่อยู่ยากขึ้นเรื่อยๆ คิดง่ายๆถ้าเป็นสมัยก่อน ทองหล่อ จะมีโครงการอย่างบ้านกลางกรุงฯ แต่ทุกวันนี้หาซื้อไม่ได้แล้ว เพราะมันแพงเกินไปที่จะทำโครงการแบบนั้น เราเลยมองอุดมสุขและอ่อนนุช เหมือนทองหล่อเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว ว่านี่คือ the next ทองหล่อ ซึ่งวันนี้ก็ใกล้เคียงมาก เป็น up and coming จริงๆ และการที่จะทำโครงการใหญ่ขนาดนี้ สร้างสเกลเดียวกับบ้านกลางกรุงฯ เรียกว่าไม่มีอีกแล้ว ดังนั้นลูกค้าของเราส่วนใหญ่ ก็คิดคำนี้แหละ เพราะว่าเป็นทำเลทอง ที่ในอนาคตจะไม่มีโครงการดีๆแบบนี้ให้อยู่อาศัยในเมืองอีกแล้ว มีแต่ต้องไกลออกไปเรื่อยๆ”

 

ซื้อที่ดินมาพัฒนาโครงการได้สะดวก เพราะเป็นบริษัทเอกชน สภาพคล่องทางการเงินสูง 

“บริษัทเราซื้อที่ตรงนี้มาเพื่อพัฒนาเลย จะไม่ใช้ concept land blank บริษัทอสังหาฯรุ่นใหม่ๆจะไม่ใช้ land blank กันแล้ว เพราะว่า หนึ่งคือภาษีที่ดิน แล้วก็เรื่องของความคาดเดายากของเมือง ทุกวันนี้การมี land blank กลายเป็นภาระของบริษัทในระยะยาว ดังนั้นเราจะมองไปที่ที่ดินเชิงกลยุทธ์ที่ตรงกับทิศทางของบริษัท ของเราจะเน้นที่ดินที่เจริญ ในเมือง และใกล้แนวรถไฟฟ้า เพราะฉะนั้นอะไรที่หลุดออกจากตรงนี้ เราก็ไม่ได้สนใจมากนัก ที่ดินตรงนี้เราก็เจรจาค่อนข้างนานอยู่เหมือนกัน แต่ว่าพอได้มาแล้วค่อนข้างคุ้มค่า 

 

“ความได้เปรียบของ บริษัท siam masterpiece ก็คือ ด้วยความที่เราเป็นบริษัทเอกชน ไม่ได้ใหญ่ขนาดมหาชน แต่ว่ามีความเข้มแข็งทางการเงินสูสีกับบริษัทมหาชน เพราะเราทำมานาน เรื่องของการซื้อที่ดินเราเลยค่อนข้างได้เปรียบ อย่างบริษัทมหาชนบางทีเขาก็จะขั้นตอนเยอะ กว่าจะอนุมัติอะไร ต้องผ่านขั้นตอนเยอะแยะมากมายไปหมด แต่ว่าของเราเอง ด้วยความที่คณะกลุ่มผู้ถือหุ้นไม่ได้เยอะมาก และความคล่องตัวทางการเงินค่อนข้างสูง เรามีเงินสดอยู่เยอะ ซื้อที่ดินส่วนใหญ่ก็แทบไม่ได้กู้ธนาคาร ทำให้เราสามารถต่อรองกับเจ้าของที่ดินได้ค่อนข้างดุดัน (หัวเราะ) เช่น ถ้าคุณโอเคกับราคานี้ พรุ่งนี้เราวางเงินเลย ซึ่ง statement แบบนี้ บริษัทมหาชนจะทำไม่ได้ 

“แต่ว่าขณะเดียวกัน เราก็ไม่ใช่ว่าจะได้เปรียบไปหมดทุกด้าน บริษัทมหาชนเขาก็จะมีเครือข่ายนายหน้าเยอะกว่าเรา เพราะว่าอยู่มานาน บางคนเอาที่ดินวิ่งชนเขาก่อน เขาก็จะมีตัวเลือกเยอะ ของเราก็ต้องแข่งขันกันในด้านเครือข่ายนายหน้าเหมือนกัน”

 

ชูจุดเด่นเรื่องการมีที่จอดรถกว้างขวาง

“จุดเด่นของที่ดินแปลงนี้คือ มีหน้ากว้างติดถนนใหญ่ถึง 300 เมตร ดังนั้นพอทำโครงการมันเลยอลังการมาก ยากที่คนที่ขับรถผ่านจะมองข้ามไปได้ โดยเฉพาะเป็นประโยชน์ที่สุดกับลูกค้าเรา ยกตัวอย่างเช่น ถนนอุดมสุข การหาที่จอดรถยากขึ้นเรื่อยๆ ช่วงเวลา 4 โมงเย็นถึง 2 ทุ่มห้ามจอด ซึ่งจริงๆ เป็นเวลาค้าขาย คนขับรถกลับบ้านจะแวะทานข้าวก็จอดไม่ได้ จะสังเกตเห็นว่าพวกอาคารพาณิชย์หลายๆแห่ง ร้านค้าถึงไม่ค่อยประสบความสำเร็จ เพราะว่าขาดที่จอดรถ แต่ว่าที่โครงการ the master เรามีที่จอดรถ 160 กว่าคัน ถือว่าเยอะมาก ดังนั้นร้านค้าที่ทยอยมาเปิด ส่วนใหญ่จะเป็นกิจการที่ลูกค้าใช้ที่จอดรถ เช่น สปา ร้านอาหาร คลินิค เป็นต้น ซึ่งหลังจากเปิดจอง เรียกว่าประสบความสำเร็จมากกว่าที่เราคิดด้วยซ้ำ ตอนนี้จองอยู่ที่ 95% มูลค่าโครงการอยู่ที่ 1,500 ล้านบาท มีทั้งหมด 136 ห้อง”

 

พิษเศรษฐกิจไม่เป็นปัญหาต่อยอดขายของโครงการ the master @bts udomsuk

“โครงการเราโชคดีหน่อยตรงที่ลูกค้าเป็นเกรดกลางถึงสูงมาก ในขณะที่บริษัทอสังหาฯหลายๆที่ ประสบปัญหา การกู้ไม่ผ่าน ของเราไม่ค่อยมี เพราะว่าเป็นเศรษฐีเงินถุงเงินถังทั้งนั้นเลยที่หอบเงินมาซื้อกัน เราก็ยังคิดเลยว่า อู้หู คนอุดมสุขนี่รวยเนอะ (หัวเราะ) อย่างอาคารพาณิชย์ที่ขายอยู่ก็ห้องละ 16-17 ล้านบาท ห้องตัวอย่างก็ขายไปแล้ว บางคนก็ซื้อ 2-3 ห้อง ด้วยความที่เขารู้ว่ามันไม่มีอีกแล้ว ดังนั้นหลายคนที่เป็นผู้สูงวัยก็จะซื้อแจกลูกหลานคนละห้อง เราก็รู้ว่าอุดมสุขเศรษฐีเยอะ แต่ว่าพอมาทำโครงการเลยรู้ว่า เยอะกว่าที่คิด ลูกค้าของเราเกินครึ่งเป็นคนในพื้นที่ เขาเคยอาศัยอยู่ในซอย หรือทำธุรกิจอาคารพาณิชย์ คือมีเงิน แต่ว่าไม่มีโครงการดีๆมาขายให้เขา ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่อยากจะย้ายไปอยู่นอกพื้นที่ เพราะว่าคุ้นชินกับพื้นที่ตรงนี้ แล้วก็เป็นพื้นที่ที่อยู่แล้วค่อนข้างจะสะดวกสบาย เพราะว่ามีร้านอาหาร มีสวน มีทางด่วนอยู่ใกล้ มีรถไฟฟ้า ห้างใหญ่ก็ครบ ทั้งซีคอนฯ พาราไดซ์ เซ็นทรัลบางนา บางกอกมอลล์ก็กำลังจะเปิด จากจุดนี้ขับรถไปไม่เกิน 15 นาที ถึงทุกห้างเลย ดังนั้นเขาค่อนข้างจะติดทำเล”


สร้างโครงการแนวราบ เพราะมองว่าหลายแห่ง การสร้างคอนโด กลายเป็น over supply แล้ว


“จริงๆเราก็เคยพิจารณาที่ดิน ว่าจะสร้างคอนโดเหมือนกัน แต่ว่ายังหาที่ที่โดนใจเราไม่ได้ เพราะว่า ด้วย concept ของ siam masterpiece เราจะทำโครงการเฉพาะในเมือง เกาะแนวรถไฟฟ้าหลายๆจุดเรียกว่าคอนโดมัน over supply แล้ว แต่ว่าในส่วนของแนวราบยังมีน้อย ดังนั้น ณ จังหวะนี้เราเลยเน้นแนวราบก่อน แต่เป็นแนวราบที่เป็น premium ที่หาคู่แข่งยากๆส่วนในอนาคตก็มีแผนจะเปิดตัวโครงการที่สามแล้ว น่าจะเป็นปีหน้า ตอนนี้ขออุบไว้ก่อน เป็นแนวราบ ที่เกาะแนวรถไฟฟ้าเหมือนเดิม อนาคตก็จะมี the master ไปโผล่อีกหลายที่” 
 

วิสัยทัศน์ด้านธุรกิจ

“ส่วนตัวผมมองว่าในประเทศไทย ธุรกิจที่น่าทำในยุคโลกาภิวัฒน์ ก็จะมีธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพราะว่ามีกฏหมายคุ้มครองว่าคนไทยทำจะไม่เสียเปรียบคนต่างชาติ เพราะต่างชาติไม่สามารถซื้อที่ดินได้ 100% สองคือธุรกิจด้านพลังงาน เพราะว่าเรามีแต่จะใช้พลังงานเยอะขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีใช้น้อยลง ไฟมีแต่เปิดเยอะขึ้น อันนี้เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ในเครือของเรากำลังพิจารณาอยู่ วิจัยมา 3-4 ปีแล้ว อยู่ในระหว่างปั้นโครงการอยู่ อีกส่วนหนึ่งคือธุรกิจที่เกี่ยวกับสถาบันการศึกษา เพราะว่ายังไงคนไทยก็ต้องเรียนภาษาไทย ถึงจะเปิดโอกาสให้มหา’ลัยต่างประเทศเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ยังไง majority ของตลาดก็ยังเป็นเรื่องของการศึกษา แล้วก็เป็นการที่เราทำเพื่อคืนให้สังคมด้วย ถ้าเราสร้างเยาวชนที่มีคุณภาพขึ้นมา ประเทศชาติก็สามารถที่จะเจริญในระยะยาวได้ เพราะฉะนั้นธุรกิจการศึกษาก็เป็นธุรกิจที่เรามองว่าเป็นสิ่งที่ควรสนับสนุน แล้วก็ทำให้มันดี ใช้ศักยภาพของเอกชนมาร่วมทำ แล้วก็อีกธุรกิจคือธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินทางปัญญาเพราะในอนาคตทุกอย่างจะอยู่กันที่ทรัพย์สินทางปัญญา ไทยแลนด์ 4.0” 



กว่าสิบปีที่ผ่านมาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าคุณภูมิเป็นผู้บริหารหนุ่มมากความสามารถที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล น่าจับตามองอีกคนหนึ่งของเมืองไทยเลยทีเดียว